เมล่อนและแคนตาลูปเป็นผลไม้ในตระกูลแตง (Cucurbitaceae) เช่นเดียวกับแตงไทย แตงโม แตงกวา แตงร้าน เป็นต้น เมล่อนและแคนตาลูปมีจุดร่วมหลายประการ เช่น รสชาติหวาน รับประทานสดได้ นิยมทำน้ำผลไม้ น้ำปั่น และไอศกรีม เป็นต้น แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้
ลักษณะภายนอก
เมล่อนและแคนตาลูปมีรูปร่างกลมหรือรี มีขนาดแตกต่างกันไป โดยทั่วไป เมล่อนจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม ส่วนแคนตาลูปจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15-25 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม
เมล่อนมีเปลือกเรียบ ผิวสีเขียวหรือสีเหลืองอ่อน ส่วนแคนตาลูปมีเปลือกขรุขระ ผิวสีเหลืองหรือสีส้มเข้ม เมล่อนบางสายพันธุ์อาจมีลายตาข่ายบนเปลือก ส่วนแคนตาลูปบางสายพันธุ์อาจมีรอยแตกตามแนวยาวบนเปลือก
รสชาติ
เมล่อนจะมีรสชาติหวานกว่าแคนตาลูป เมล่อนบางสายพันธุ์อาจมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ส่วนแคนตาลูปจะมีรสชาติหวานอมขมเล็กน้อย
สารอาหาร
เมล่อนและแคนตาลูปมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย เช่น วิตามินซี โพแทสเซียม แมกนีเซียม ไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน แต่เมล่อนจะมีไลโคปีนสูงกว่าแคนตาลูป
ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่พบได้ในพืชและผลไม้สีแดง สีส้ม และสีเหลือง เช่น มะเขือเทศ แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้น ไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินซีและวิตามินอี
ประโยชน์ของไลโคปีนที่มีอยู่ในเมล่อน ได้แก่
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ไลโคปีนช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยรังสียูวี ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำ
- ช่วยบำรุงสายตา ไลโคปีนช่วยปกป้องดวงตาจากโรคตาเสื่อมจากวัยและโรคต้อกระจก
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ไลโคปีนช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมในหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ไลโคปีนช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกและฟัน
- ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ไลโคปีนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยป้องกันโรคนิ่วในไต ไลโคปีนช่วยป้องกันการตกตะกอนของเกลือแคลเซียมในไต
นอกจากนี้ ไลโคปีนยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม
การรับประทานเมล่อนเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มปริมาณไลโคปีนที่ได้รับ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
นี่คือตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเมล่อนและแคนตาลูป
ลักษณะ | เมล่อน | แคนตาลูป |
---|---|---|
ตระกูล | แตง (Cucurbitaceae) | แตง (Cucurbitaceae) |
รูปร่าง | กลมหรือรี | กลมหรือรี |
ขนาด | เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตร, น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม | เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15-25 เซนติเมตร, น้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม |
เปลือก | เรียบ, ผิวสีเขียวหรือสีเหลืองอ่อน | ขรุขระ, ผิวสีเหลืองหรือสีส้มเข้ม |
ลาย | อาจมีลายตาข่าย | อาจมีรอยแตกตามแนวยาว |
รสชาติ | หวานกว่า | หวาน |
สารอาหาร | วิตามินซี โพแทสเซียม แมกนีเซียม ไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน | วิตามินซี โพแทสเซียม แมกนีเซียม ไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน |
ไลโคปีน | สูง | ต่ำกว่า |
ประโยชน์ต่อสุขภาพ | บำรุงผิวพรรณ, บำรุงสายตา, ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด, บำรุงกระดูกและฟัน, ป้องกันโรคเบาหวาน, ป้องกันโรคนิ่วในไต | บำรุงผิวพรรณ, บำรุงสายตา, ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด, บำรุงกระดูกและฟัน, ป้องกันโรคเบาหวาน, ป้องกันโรคนิ่วในไต |
สรุปได้ว่า เมล่อนและแคนตาลูปเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ เช่น ลักษณะภายนอก รสชาติ และสารอาหาร เมล่อนจะมีรสชาติหวานกว่าแคนตาลูป และมีไลโคปีนสูงกว่าแคนตาลูป ทั้งสองชนิดจึงถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก ควรรับประทานเป็นประจำ