บลูชีส ประโยชน์ต่อสุขภาพที่คุณอาจไม่รู้


บลูชีสเป็นชีสชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่นคือมีเส้นสีขาวหรือฟ้ากระจายอยู่ทั่วเนื้อชีส เกิดจากการบ่มด้วยเชื้อรา Penicillium roqueforti เชื้อราชนิดนี้จะช่วยย่อยโปรตีนในนม ทำให้เนื้อชีสมีความนุ่มและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว

บลูชีสมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับนมที่ใช้ ระยะเวลาในการบ่ม และวิธีการผลิต โดยทั่วไปแล้ว บลูชีสจะมีรสชาติเค็มและฉุน บางคนอาจรู้สึกถึงรสเผ็ดหรือขมเล็กน้อย

ลักษณะของบลูชีสมีดังนี้

  • เนื้อสัมผัส : เนื้อชีสบลูชีสจะมีความนุ่ม ยืดหยุ่นเล็กน้อย อาจมีรูพรุนเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่ว
  • สี : เนื้อชีสบลูชีสจะมีสีขาวหรือครีม โดยมีเส้นสีขาวหรือฟ้ากระจายอยู่ทั่ว
  • รสชาติ : บลูชีสจะมีรสชาติเค็มและฉุน บางคนอาจรู้สึกถึงรสเผ็ดหรือขมเล็กน้อย
  • กลิ่น : บลูชีสจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว บางคนอาจรู้สึกถึงกลิ่นคล้ายเห็ดหรือชีสเปรี้ยว

บลูชีส ทํามาจาก?

บลูชีสทำมาจากนมวัวที่ผ่านกระบวนการหมักบ่มด้วยเชื้อรา Penicillium roqueforti เชื้อราชนิดนี้จะช่วยย่อยโปรตีนในนม ทำให้เนื้อชีสมีความนุ่มและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว บลูชีสมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับนมที่ใช้ ระยะเวลาในการบ่ม และวิธีการผลิต

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนการผลิตบลูชีส

  1. นมวัวจะถูกนำมาทำให้ร้อนและเติมเอนไซม์เรนนิน ทำให้เกิดก้อนนมหรือลิ่มนม
  2. ลิ่มนมจะถูกนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้ม
  3. ลิ่มนมจะถูกนำไปกดให้แห้ง จากนั้นจึงนำไปบ่ม
  4. ในระหว่างการบ่ม เชื้อรา Penicillium roqueforti จะถูกฉีดเข้าไปในก้อนชีส
  5. ก้อนชีสจะถูกบ่มเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของบลูชีส
  6. เมื่อบ่มเสร็จแล้ว ก้อนชีสจะถูกนำไปตัดเป็นชิ้น ๆ และบรรจุจำหน่าย

บลูชีสมีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส โดยตำนานเล่าว่า บลูชีสเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งลืมทิ้งก้อนชีสไว้ไว้ในถ้ำ ก้อนชีสตกอยู่ใกล้กับเชื้อรา Penicillium roqueforti เชื้อราชนิดนี้จึงเจริญเติบโตในก้อนชีส ทำให้เกิดเส้นสีขาวหรือฟ้ากระจายอยู่ทั่วเนื้อชีส

ประโยชน์ของบลูชีส

ประโยชน์ของบลูชีสต่อสุขภาพ ได้แก่

  • บำรุงกระดูกและฟัน : บลูชีสมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน : แคลเซียมในบลูชีสจะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมและเปราะบาง เสี่ยงต่อการหักหรือกระดูกหัก
  • ช่วยบำรุงระบบประสาท : บลูชีสมีวิตามินดีและวิตามินบี 12 สูง วิตามินดีจะช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ส่วนวิตามินบี 12 จะช่วยบำรุงประสาทและสมอง
  • ช่วยระบบย่อยอาหาร : บลูชีสมีโปรตีนสูง โปรตีนจะช่วยย่อยอาหารให้ย่อยง่ายขึ้น และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้
  • ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน : บลูชีสมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

นอกจากนี้ บลูชีสยังมีประโยชน์อื่น ๆ ดังนี้

  • เป็นแหล่งของโปรตีน : บลูชีสมีโปรตีนสูง โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างกล้ามเนื้อใหม่
  • เป็นแหล่งของไขมันดี : บลูชีสมีไขมันดีอยู่บ้าง ไขมันดีช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด
  • เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ : บลูชีสมีวิตามินและเกลือแร่หลายชนิด เช่น วิตามินดี วิตามินบี 12 แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เป็นต้น

ตารางสารอาหารของบลูชีส 1 ออนซ์ (28 กรัม)

สารอาหารปริมาณ
พลังงาน100 กิโลแคลอรี่
โปรตีน7 กรัม
ไขมัน9 กรัม
ไขมันอิ่มตัว3 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน3 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว3 กรัม
คอเลสเตอรอล30 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต0.5 กรัม
น้ำตาล0 กรัม
โซเดียม200 มิลลิกรัม
แคลเซียม200 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส100 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม50 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม15 มิลลิกรัม
สังกะสี1 มิลลิกรัม
วิตามินเอ100 IU
วิตามินดี2 ไมโครกรัม
วิตามินอี0.1 มิลลิกรัม
วิตามินเค10 ไมโครกรัม
วิตามินบี121 ไมโครกรัม

บลูชีสเป็นอาหารที่มีไขมันสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยผู้ใหญ่ควรรับประทานบลูชีสไม่เกิน 2 ออนซ์ (56 กรัม) ต่อวัน

บลูชีส กินกับอะไรดี?
บลูชีสเป็นชีสที่มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว จึงมักรับประทานคู่กับอาหารที่มีรสอ่อน ๆ เพื่อให้รสชาติของบลูชีสโดดเด่น อาหารที่นิยมรับประทานคู่กับบลูชีส ได้แก่

  • ขนมปัง : บลูชีสมักรับประทานคู่กับขนมปังกรอบ ๆ เช่น ขนมปังโฮลวีต ขนมปังปิ้ง หรือขนมปังกรอบแบบแท่ง บลูชีสจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับขนมปัง
  • ผลไม้ : บลูชีสสามารถรับประทานคู่กับผลไม้สด เช่น แอปเปิ้ล ส้ม องุ่น หรือลูกพีช ผลไม้จะช่วยตัดรสเค็มและฉุนของบลูชีสได้เป็นอย่างดี
  • ไวน์ : บลูชีสมักรับประทานคู่กับไวน์แดงที่มีรสชาติเข้มข้น เช่น ไวน์ Cabernet Sauvignon ไวน์ Merlot หรือไวน์ Shiraz บลูชีสจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับไวน์
  • อาหารอื่น ๆ : บลูชีสยังสามารถรับประทานคู่กับอาหารอื่น ๆ เช่น พิซซ่า สลัด บลูชีสจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับอาหารเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

ข้อเสียของบลูชีส

บลูชีสมีข้อเสียบางประการ ดังนี้

  • มีไขมันสูง : บลูชีสมีไขมันสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยผู้ใหญ่ควรรับประทานบลูชีสไม่เกิน 2 ออนซ์ (56 กรัม) ต่อวัน
  • มีกลิ่นแรง : บลูชีสมีกลิ่นแรง จึงอาจไม่เหมาะกับทุกคน ผู้ที่แพ้นมหรือนมวัว ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบลูชีส
  • อาจปนเปื้อนเชื้อโรค : บลูชีสเกิดจากการบ่มด้วยเชื้อรา Penicillium roqueforti ซึ่งอาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้ จึงควรรับประทานบลูชีสที่มีคุณภาพและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการรับประทานบลูชีสอย่างปลอดภัย

  • เลือกซื้อบลูชีสจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  • ตรวจสอบวันที่ผลิตและวันหมดอายุ
  • เก็บรักษาบลูชีสไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 40 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 4 องศาเซลเซียส
  • รับประทานบลูชีสให้หมดภายใน 2 สัปดาห์หลังจากเปิดบรรจุภัณฑ์

หากรับประทานบลูชีสแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง อาเจียน หรือมีไข้ ควรหยุดรับประทานและรีบไปพบแพทย์

บทความที่น่าสนใจ
เนยแข็ง: หลากชนิด หลายรสชาติ
Cheese

เนยแข็งเป็นผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากนมวัว แพะ แกะ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ โดยนำนมมาทำให้แข็งด้วยกระบวนการหมักและตกตะกอ อ่านต่อ

แชร์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *