อบเชยเป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศศรีลังกาและอินเดีย ในปัจจุบันมีการปลูกอบเชยในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน บราซิล อินโดนีเซีย และไทย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของอบเชยมีดังนี้
- ลำต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-20 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลแกมแดง เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม
- ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปหอกหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ สีเขียวเข้ม ด้านล่างมีขนอ่อน
- ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก สีเหลืองหรือสีเขียวอ่อน
- ผล เป็นผลสด รูปไข่ ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
ส่วนที่ใช้ทำเครื่องเทศและยาสมุนไพร คือ เปลือกต้นชั้นในซึ่งขูดเป็นเส้นบางๆ หรือบดเป็นผง เรียกกันว่า “อบเชย”
ประเภทของอบเชย
อบเชยเป็นพืชในสกุล Cinnamomum วงศ์ Lauraceae มีต้นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ อบเชยมีเปลือกที่มีกลิ่นหอมและรสเผ็ด จึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศและยาสมุนไพร
ประเภทของอบเชยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- อบเชยเทศ (True Cinnamon) เป็นอบเชยที่มีต้นกำเนิดจากศรีลังกา มีคุณภาพดีที่สุด เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมแรง
- อบเชยจีน (Chinese Cinnamon) เป็นอบเชยที่มีต้นกำเนิดจากจีน เปลือกมีสีน้ำตาลเข้ม ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมอ่อน
นอกจากนี้ ยังมีอบเชยประเภทอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น
- อบเชยญวน (Vietnamese Cinnamon) เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน คล้ายกับอบเชยเทศ แต่มีกลิ่นหอมน้อยกว่า
- อบเชยไทย (Thai Cinnamon) เปลือกมีสีน้ำตาลเข้ม คล้ายกับอบเชยจีน แต่มีกลิ่นหอมแรงกว่า
ความแตกต่างของอบเชยเทศและอบเชยจีน
อบเชยเทศและอบเชยจีนมีความแตกต่างในด้านต่างๆ ดังนี้
ลักษณะ | อบเชยเทศ | อบเชยจีน |
---|---|---|
ต้นกำเนิด | ศรีลังกา | จีน |
คุณภาพ | ดีที่สุด | ด้อยกว่า |
สีเปลือก | สีน้ำตาลอ่อน | สีน้ำตาลเข้ม |
ความยาว | 20-30 เซนติเมตร | 10-20 เซนติเมตร |
กลิ่นหอม | แรง | อ่อน |
รสชาติ | เผ็ด | เผ็ดน้อยกว่า |
ประโยชน์ของอบเชย
อบเชยเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย ทั้งใช้เป็นเครื่องเทศและยาสมุนไพร ประโยชน์ของอบเชยมีดังนี้
ประโยชน์ด้านอาหาร
- เพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติให้กับอาหารต่างๆ เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศกรีม เครื่องดื่ม เป็นต้น
- ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร จึงช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด จึงช่วยแก้อาการท้องเสียได้
ประโยชน์ด้านยา
- แก้ไอ แก้ปวด
- ต้านการอักเสบ
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดคอเลสเตอรอล
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
วิธีใช้อบเชยเพื่อประโยชน์ต่อผิว
- ใช้ทำเป็นมาส์กหน้า โดยผสมผงอบเชยกับน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ต คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ใช้ทำเป็นน้ำมันนวด โดยผสมน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอัลมอนด์กับผงอบเชย คนให้เข้ากัน แล้วนำมานวดผิว
- ใช้ทำเป็นโลชั่นบำรุงผิว โดยผสมผงอบเชยกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอัลมอนด์ คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาผิวเป็นประจำ
ข้อควรระวัง
- อบเชยอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางราย
- อบเชยอาจส่งผลข้างเคียงต่อหญิงตั้งครรภ์และเด็ก
ปริมาณที่แนะนำ
- ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่คือ 1-6 กรัมต่อวัน
- ปริมาณที่แนะนำสำหรับเด็กคือ 0.5-1.5 กรัมต่อวัน
วิธีใช้อบเชย
- ใช้เป็นเครื่องเทศ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแบบอบกรอบและแบบผง นิยมใช้โรยบนอาหารต่างๆ เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศกรีม เครื่องดื่ม เป็นต้น
- ใช้เป็นยาสมุนไพร นิยมใช้ทำเป็นชาหรือน้ำต้ม โดยนำเปลือกอบเชยมาต้มกับน้ำดื่ม ดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ท้องเสีย แก้ไอ แก้ปวด เป็นต้น
การศึกษาวิจัย
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของอบเชยมีมากมาย พบว่าอบเชยมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาวิจัยพบว่าอบเชยอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
- ช่วยลดคอเลสเตอรอล การศึกษาวิจัยพบว่าอบเชยอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) ในเลือด
- ช่วยลดความดันโลหิต การศึกษาวิจัยพบว่าอบเชยอาจช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงได้
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อบเชยมีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจ การศึกษาวิจัยพบว่าอบเชยอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจได้
อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของอบเชยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาวิจัยในสัตว์หรือในหลอดทดลอง การศึกษาวิจัยในมนุษย์ยังมีไม่มากนัก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประโยชน์ของอบเชยต่อสุขภาพ