เบคอน: อาหารยอดนิยมที่มาพร้อมกับข้อควรระวัง
เบคอนเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อหมูสามชั้น โดยนำเนื้อหมูสามชั้นมาหมักเกลือและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นนำไปรมควันจนมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เบคอนเป็นอาหารยอดนิยมในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เบคอนนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าคู่กับไข่ดาวหรือเบคอนพันไข่ รับประทานเป็นอาหารว่าง หรือรับประทานเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น แซนวิช เบอร์เกอร์ พาสต้า พิซซ่า เป็นต้น
ประวัติความเป็นมาของเบคอน
เบคอนมีประวัติยาวนานย้อนกลับไปในยุคสำริดของยุโรป หลักฐานทางโบราณคดีพบกระดูกหมูรมควันในหลุมฝังศพของชนเผ่าเซลติกในอังกฤษ สันนิษฐานว่าเบคอนเป็นอาหารที่ทำขึ้นเพื่อถนอมเนื้อหมูให้เก็บไว้ได้นานขึ้น
ในสมัยโรมัน เบคอนเป็นอาหารยอดนิยมอย่างหนึ่ง ชาวโรมันมักรับประทานเบคอนเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง ชาวโรมันยังนิยมนำเบคอนไปใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีการบูชาเทพเจ้า
เบคอนถูกนำเข้ามายังอเมริกาโดยชาวยุโรปในช่วงยุคล่าอาณานิคม ชาวอเมริกันนิยมรับประทานเบคอนเป็นอาหารเช้าคู่กับไข่ดาวหรือเบคอนพันไข่ เบคอนยังถูกใช้เป็นอาหารหลักในกองทัพอเมริกันในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา
ในปัจจุบัน เบคอนเป็นอาหารยอดนิยมในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เบคอนมีการผลิตและจำหน่ายในปริมาณมาก มีหลากหลายประเภทให้เลือกสรร เบคอนเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลก
วิธีการทำเบคอน
การทำเบคอนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การแช่แข็งและการหมักเกลือ
การแช่แข็งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการกำจัดน้ำออกจากเนื้อหมูสามชั้น เพื่อให้เนื้อหมูสามชั้นมีความเข้มข้นของรสชาติมากขึ้น การแช่แข็งอาจทำได้โดยการแช่เย็นหรือแช่แข็ง
การหมักเกลือเป็นขั้นตอนในการเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับเบคอน เกลือจะช่วยลดปริมาณน้ำในเนื้อหมูสามชั้นและช่วยดึงรสชาติและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศต่างๆ ออกมา
หลังจากการหมักเกลือแล้ว เบคอนจะถูกนำไปรมควันด้วยไม้ไผ่หรือไม้ชนิดอื่นๆ การหรมควันจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับเบคอน
ประเภทของเบคอน
เบคอนมีหลากหลายประเภท โดยสามารถแบ่งตามวิธีการทำ ประเภทของเนื้อหมู และวิธีการรมควันได้ดังนี้
- เบคอนรมควัน (Smoked bacon) เป็นเบคอนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เบคอนประเภทนี้จะถูกนำไปรมควันด้วยไม้ไผ่หรือไม้ชนิดอื่นๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น
- เบคอนแบบแห้ง (Dry-cured bacon) เป็นเบคอนที่ผ่านการหมักเกลือและเครื่องเทศเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เบคอนประเภทนี้จะมีรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่แห้ง
- เบคอนแบบเปียก (Wet-cured bacon) เป็นเบคอนที่ผ่านการหมักเกลือและเครื่องเทศเป็นเวลาสั้นๆ จากนั้นจะถูกนำไปรมควันเป็นเวลาไม่นาน เบคอนประเภทนี้จะมีรสชาติอ่อนกว่าเบคอนแบบแห้งและเนื้อสัมผัสที่นุ่ม
- เบคอนแบบย่าง (Grilled bacon) เป็นเบคอนที่ผ่านการย่างบนกระทะหรือเตาอบ เบคอนประเภทนี้จะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น
- เบคอนแบบทอด (Fried bacon) เป็นเบคอนที่ผ่านการทอดในน้ำมัน เบคอนประเภทนี้จะมีรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่กรอบ
สารอาหารของเบคอน
เบคอน 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 347 กิโลแคลอรี |
โปรตีน | 28 กรัม |
ไขมัน | 24 กรัม |
ไขมันอิ่มตัว | 19 กรัม |
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว | 4 กรัม |
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน | 0.9 กรัม |
คอเลสเตอรอล | 80 มิลลิกรัม |
โซเดียม | 1,550 มิลลิกรัม |
โพแทสเซียม | 185 มิลลิกรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 0 กรัม |
ใยอาหาร | 0 กรัม |
น้ำตาล | 0 กรัม |
ประโยชน์และโทษของเบคอน
เบคอนเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม เบคอนยังเป็นอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
ประโยชน์ของเบคอน
- เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี
- เป็นแหล่งของธาตุเหล็ก วิตามิน B12 และสังกะสี
- มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย
โทษของเบคอน
- มีไขมันสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน
- มีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
- อาจมีสารก่อมะเร็ง เช่น สารไนโตรซามีน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
ข้อควรระวังในการรับประทานเบคอน
- ควรรับประทานเบคอนในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 3 ชิ้น
- ควรเลือกรับประทานเบคอนแบบรมควันธรรมชาติ หลีกเลี่ยงเบคอนที่รมควันด้วยสารเคมี
- ควรรับประทานเบคอนร่วมกับผัก
เบคอน กับ แฮม ต่างกันอย่างไร
เบคอนและแฮมเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อหมู แต่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน เบคอนทำจากเนื้อหมูสามชั้น โดยนำเนื้อหมูสามชั้นมาหมักเกลือและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นนำไปรมควันจนมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น แฮมทำจากเนื้อหมูส่วนต่างๆ โดยนำเนื้อหมูมาหมักเกลือและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นนำไปต้มหรืออบจนสุก
เบคอนมีไขมันและโซเดียมสูง ในขณะที่แฮมมีไขมันและโซเดียมน้อยกว่า เบคอนนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าคู่กับไข่ดาวหรือเบคอนพันไข่ รับประทานเป็นอาหารว่าง หรือรับประทานเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น แซนวิช เบอร์เกอร์ พาสต้า พิซซ่า เป็นต้น แฮมนิยมรับประทานเป็นอาหารจานหลัก เช่น แฮมสเต็ก แฮมทอด แฮมย่าง เป็นต้น
ต่อไปนี้เป็นตารางสรุปความแตกต่างระหว่างเบคอนและแฮม:
คุณสมบัติ | เบคอน | แฮม |
---|---|---|
ส่วนประกอบ | เนื้อหมูสามชั้น | เนื้อหมูส่วนต่างๆ |
กระบวนการผลิต | หมักเกลือและรมควัน | หมักเกลือและต้มหรืออบ |
รสชาติ | เข้มข้น หอมกลิ่นรมควัน | นุ่มนวล รสอ่อน |
ไขมันและโซเดียม | สูง | ต่ำ |
เบคอน กับ สามชั้น ต่างกันอย่างไร
เบคอนและสามชั้นเป็นเนื้อหมูที่มีส่วนประกอบเหมือนกัน คือ เนื้อหมูส่วนท้องที่มีชั้นไขมันแทรกสลับกัน แต่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน
เบคอนเป็นเนื้อหมูสามชั้นที่ผ่านการหมักเกลือและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นนำไปรมควันจนมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เบคอนนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าคู่กับไข่ดาวหรือเบคอนพันไข่ รับประทานเป็นอาหารว่าง หรือรับประทานเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น แซนวิช เบอร์เกอร์ พาสต้า พิซซ่า เป็นต้น
สามชั้นเป็นเนื้อหมูสามชั้นที่ยังไม่ได้ผ่านการหมักเกลือหรือรมควัน สามชั้นมีรสชาติจืดกว่าเบคอน และยังมีไขมันมากกว่าเบคอน สามชั้นนิยมรับประทานเป็นอาหารจานหลัก เช่น ต้มแซ่บ ยำสามชั้น หมูสามชั้นย่าง เป็นต้น
ต่อไปนี้เป็นตารางสรุปความแตกต่างระหว่างเบคอนและสามชั้น:
คุณสมบัติ | เบคอน | สามชั้น |
---|---|---|
ส่วนประกอบ | เนื้อหมูส่วนท้องที่มีชั้นไขมันแทรกสลับกัน | เนื้อหมูส่วนท้องที่มีชั้นไขมันแทรกสลับกัน |
กระบวนการผลิต | หมักเกลือและรมควัน | ไม่ผ่านการหมักเกลือหรือรมควัน |
รสชาติ | เข้มข้น หอมกลิ่นรมควัน | จืด |
ไขมัน | สูง | สูง |
สรุปได้ว่า เบคอนและสามชั้นเป็นเนื้อหมูที่มีส่วนประกอบเหมือนกัน แต่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน เบคอนมีรสชาติเข้มข้นกว่าสามชั้น และยังมีไขมันมากกว่าสามชั้น