มันเทศ (sweet potato) เป็นพืชล้มลุก ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีรากที่สะสมอาหารเป็นหัวขนาดใหญ่ อยู่ใต้ดิน หัวมันเทศมีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ หัวมันเทศที่นิยมบริโภคในประเทศไทย ได้แก่ หัวมันเทศสีเหลืองและหัวมันเทศสีม่วง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ลำต้น : เป็นเถาเลื้อย ยาวได้ถึง 5 เมตร ลำต้นมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม มีน้ำยางสีขาว
- ใบ : ใบเดี่ยว รูปหัวใจหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือหยัก
- ดอก : ดอกออกเป็นช่อกระจุก ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวหรือสีม่วง
- ผล : ผลเป็นแคปซูล แตกเมื่อสุก เมล็ดมีขนาดเล็ก รูปไข่
ตามหลักพฤกษศาสตร์ มันเทศจัดเป็นพืชหัว เช่นเดียวกับแครอทและมันฝรั่ง เนื่องจากหัวมันเทศเป็นอวัยวะสะสมอาหารของพืช ไม่ได้เป็นผลไม้ ซึ่งเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตประจำวัน ผู้คนมักเรียกมันเทศเป็นผัก เนื่องจากมีรสชาติและลักษณะคล้ายกับผักมากกว่าผลไม้ นอกจากนี้ มันเทศมักถูกนำมาประกอบอาหารในลักษณะเดียวกับผัก
ดังนั้น การจะบอกว่ามันเทศเป็นผักหรือผลไม้จึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา ในทางพฤกษศาสตร์ มันเทศจัดเป็นพืชหัว แต่ในทางปฏิบัติ มันเทศมักถูกเรียกเป็นผัก
คุณค่าทางโภชนาการ
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 86 กิโลแคลอรี |
คาร์โบไฮเดรต | 20 กรัม |
น้ำตาล | 4.2 กรัม |
ใยอาหาร | 3 กรัม |
โปรตีน | 1.6 กรัม |
วิตามินเอ | 709 ไมโครกรัม |
วิตามินบี 1 | 0.078 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 2 | 0.061 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 3 | 0.557 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 5 | 0.8 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 6 | 0.209 มิลลิกรัม |
ธาตุแคลเซียม | 25 มิลลิกรัม |
ธาตุเหล็ก | 0.4 มิลลิกรัม |
ธาตุฟอสฟอรัส | 32 มิลลิกรัม |
โพแทสเซียม | 475 มิลลิกรัม |
จากตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศ 100 กรัม จะเห็นได้ว่ามันเทศมีคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารหลัก รองลงมาคือใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก และธาตุฟอสฟอรัส
หมายเหตุ
- ข้อมูลอ้างอิง: ฐานข้อมูลสารอาหารของ USDA (National Nutrient Database for Standard Reference)
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
มันเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิต
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
มันเทศมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลจากมันเทศได้ช้ากว่าอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
มันเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน
มันเทศมีใยอาหารสูง ซึ่งช่วยทำให้อิ่มนานและช่วยลดการบริโภคแคลอรีโดยรวม จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วนได้
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคท้องผูก
มันเทศมีใยอาหารสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูก
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
มันเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ มันเทศยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มันเทศเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จึงควรรับประทานมันเทศเป็นประจำ
วิธีเลือกซื้อมันเทศ
วิธีเลือกซื้อมันเทศ มีดังนี้
- เลือกซื้อมันเทศที่มีหัวกลมหรือหัวยาว หัวมันเทศที่มีรูปร่างสมส่วนจะมีคุณภาพดี
- ผิวเรียบ ไม่มีรอยช้ำหรือจุดดำ หัวมันเทศที่มีผิวเรียบจะมีคุณภาพดี
- หัวมันเทศแน่น ไม่นิ่มหรือยวบ หัวมันเทศที่แน่นจะมีคุณภาพดี
- น้ำหนักเบากว่าขนาด หัวมันเทศที่น้ำหนักเบากว่าขนาดอาจแห้งหรือเน่าเสีย
- ไม่มีรากงอกออกมา หัวมันเทศที่มีรากงอกออกมาอาจแห้งหรือเน่าเสีย
- ไม่มีกลิ่นเหม็น หัวมันเทศที่มีกลิ่นเหม็นอาจเน่าเสีย
นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อมันเทศที่สดใหม่ โดยสังเกตจากผิวของมันเทศที่ควรมีสีสันสดใส ไม่ซีดจางหรือมีจุดดำ
หากเลือกซื้อมันเทศที่มีขนาดเล็กหรือหัวเรียวยาว ควรเลือกซื้อในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหัวมันเทศเหล่านี้มีปริมาณแป้งและน้ำตาลสูง เหมาะสำหรับการนำมาประกอบอาหารที่ต้องการความหวาน เช่น มันเทศเชื่อม หรือมันเทศอบ เป็นต้น
วิธีเก็บรักษามันเทศ
ควรเก็บรักษามันเทศไว้ในที่แห้งและเย็น อุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส ไม่ควรเก็บรักษามันเทศไว้ในตู้เย็น เพราะจะทำให้มันเทศเน่าเสียเร็วขึ้น
ข้อควรระวังในการรับประทานมันเทศ
ข้อควรระวังในการรับประทานมันเทศ มีดังนี้
- ผู้ที่แพ้มันฝรั่งหรือผักในวงศ์ Solanaceae ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมันเทศ เนื่องจากอาจมีอาการแพ้ได้ เช่น ผื่นคัน บวม หายใจลำบาก เป็นต้น
- ผู้ที่เป็นโรคนิ่วในไต ควรรับประทานมันเทศในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากมันเทศมีสารออกซาเลต ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรรับประทานมันเทศในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากมันเทศมีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาลดน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานมันเทศ เนื่องจากมันเทศอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาได้