ลิ้นจี่เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นมีเปลือกสีเทา เรียบหรือขรุขระ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 3-4 คู่ ใบย่อยรูปไข่กลับหรือรูปรี ยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อ ดอกย่อยสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม ผลเป็นผลเดี่ยว รูปกลมหรือรูปไข่ ผิวผลสีแดงสดหรือสีแดงเข้ม เปลือกผลบางขรุขระ เนื้อผลสีขาวอมชมพู มีรสหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดเดียว เมล็ดสีน้ำตาลเข้ม
ลิ้นจี่ ออกเดือนไหน
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในประเทศจีน ในประเทศไทยนั้นลิ้นจี่ได้รับการปลูกอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออก ลิ้นจี่มีฤดูกาลออกผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม
พันธุ์ลิ้นจี่
ลิ้นจี่มีพันธุ์หลากหลาย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกในภาคกลางและภาคตะวันตก และกลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ
กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกในภาคกลางและภาคตะวันตก
- พันธุ์ค่อมลำเจียก (Mangifera domestica L. cv. Kom Loe Jeak) เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดเล็ก เนื้อหนา รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกผลมีหนามแหลม
- พันธุ์กะโหลกใบยาว (Mangifera domestica L. cv. Ka Khok Bai Yao) เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมรองลงมา มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกผลบาง
- พันธุ์สำเภาแก้ว (Mangifera domestica L. cv. Sam Phao Kaew) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดเล็ก เนื้อหนา รสหวาน เปลือกผลบาง
- พันธุ์กระโถนท้องพระโรง (Mangifera domestica L. cv. Kra Khon Tong Phra Mongkhon) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกผลบาง
กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ
- พันธุ์ฮงฮวย (Mangifera domestica L. cv. Hong Huey) เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา รสหวาน เปลือกผลมีหนามแหลม
- พันธุ์จักรพรรดิ์ (Mangifera domestica L. cv. Chakkrapat) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา รสหวาน เปลือกผลมีหนามแหลม
- พันธุ์กิมเจ็ง (Mangifera domestica L. cv. Kim Jeeng)
- พันธุ์โอวเฮียะ (Mangifera domestica L. cv. Ow Hee Ya)
- พันธุ์กิมจี๊ (Mangifera domestica L. cv. Kim Ji) เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดเล็ก เนื้อหนา รสหวาน เปลือกผลบาง
ลิ้นจี่ พันธุ์ไหนอร่อยสุด?
ลิ้นจี่แต่ละพันธุ์มีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สายพันธุ์ สภาพดินฟ้าอากาศ การดูแลรักษา เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่สามารถตอบได้ว่าลิ้นจี่พันธุ์ไหนอร่อยที่สุดได้
อย่างไรก็ตาม ลิ้นจี่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์ค่อมลำเจียก และพันธุ์ฮงฮวย ทั้งสองพันธุ์มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อหนา เปลือกบาง เมล็ดลีบ นิยมรับประทานสด
นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ลิ้นจี่อื่นๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น พันธุ์จักรพรรดิ์ พันธุ์กะโหลกใบยาว เป็นต้น
ดังนั้น ลิ้นจี่พันธุ์ไหนอร่อยสุด ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลครับ
ประโยชน์ของลิ้นจี่
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน : วิตามินซีในลิ้นจี่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
- บำรุงผิวพรรณ : วิตามินซีในลิ้นจี่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส เปล่งปลั่ง และเรียบเนียน
- ช่วยป้องกันโรคหวัด : วิตามินซีในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคไข้หวัดใหญ่
- บำรุงกระดูกและฟัน : แคลเซียมและฟอสฟอรัสในลิ้นจี่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก : ลิ้นจี่มีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
- ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี : ใยอาหารในลิ้นจี่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
นอกจากนี้ ลิ้นจี่ยังมีสรรพคุณทางยาบางประการ เช่น ช่วยแก้อาการไอ แก้ไข้ และแก้อาการร้อนใน เป็นต้น
ตารางสารอาหารของลิ้นจี่ 100 กรัม
ได้ครับ ต่อไปนี้เป็นตารางสารอาหารของลิ้นจี่ 100 กรัม
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 66 กิโลแคลอรี่ |
โปรตีน | 0.9 กรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 16.5 กรัม |
น้ำตาล | 16.5 กรัม |
ไขมัน | 0.1 กรัม |
ไฟเบอร์ | 1.3 กรัม |
วิตามินซี | 60 มิลลิกรัม |
วิตามินเอ | 140 IU |
แคลเซียม | 15 มิลลิกรัม |
ฟอสฟอรัส | 20 มิลลิกรัม |
จากตารางนี้จะเห็นได้ว่า ลิ้นจี่มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ประมาณ 16.5 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย 100 กรัม มีน้ำตาล 12.2 กรัม และส้ม 100 กรัม มีน้ำตาล 9.5 กรัม
โทษของลิ้นจี่
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีโทษน้อย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
- ไม่ควรรับประทานลิ้นจี่มากเกินไป เนื่องจากลิ้นจี่มีน้ำตาลอยู่ค่อนข้างมาก หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
- ไม่ควรรับประทานลิ้นจี่ตอนท้องว่าง เนื่องจากลิ้นจี่มีน้ำตาลสูง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำตามมาได้
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคไต ควรรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณที่จำกัด เนื่องจากลิ้นจี่มีน้ำตาลและโพแทสเซียมสูง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้
- ผู้ที่แพ้ลิ้นจี่ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลิ้นจี่ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม หายใจลำบาก เป็นต้น
ลิ้นจี่กระป๋อง
ลิ้นจี่กระป๋องเป็นผลไม้กระป๋องชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานเป็นอาหารว่างหรือของหวาน ลิ้นจี่กระป๋องทำจากลิ้นจี่สดที่นำมาล้างทำความสะอาดแล้ว ตัดขั้วออก และแช่ในน้ำเชื่อมที่มีน้ำตาล กรดซิตริก และเกลือคลอไรด์ จากนั้นบรรจุลงในกระป๋องและปิดฝาให้สนิท ลิ้นจี่กระป๋องมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมของลิ้นจี่ และเนื้อลิ้นจี่ที่นุ่มหนึบ
ลิ้นจี่กระป๋องมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับลิ้นจี่สด อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส เปล่งปลั่ง และเรียบเนียน ช่วยป้องกันโรคหวัด บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ลิ้นจี่กระป๋องมีน้ำตาลอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
ข้อดีของลิ้นจี่กระป๋อง
- สะดวกต่อการรับประทาน
- เก็บรักษาได้นาน
- รสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมของลิ้นจี่ และเนื้อลิ้นจี่ที่นุ่มหนึบ
ข้อเสียของลิ้นจี่กระป๋อง
- มีน้ำตาลอยู่ค่อนข้างมาก
- อาจสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุบางส่วนไปในระหว่างการแปรรูป