มันฝรั่งเป็นพืชล้มลุกในตระกูล Solanaceae เช่นเดียวกับมะเขือเทศและพริก มันฝรั่งมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวของมันฝรั่งมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยทั่วไปแล้วหัวมันฝรั่งจะมีรูปร่างกลม รี หรือยาว ผิวของหัวมันฝรั่งอาจเรียบหรือขรุขระ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ผิวของหัวมันฝรั่งบางสายพันธุ์อาจมีสีเหลือง ขาว หรือม่วง
หัวมันฝรั่งประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- เปลือก เป็นส่วนนอกสุดของหัวมันฝรั่ง มีหน้าที่ปกป้องหัวมันฝรั่งจากสิ่งต่างๆ ภายนอก
- เนื้อ เป็นส่วนหลักของหัวมันฝรั่ง ประกอบด้วยแป้ง โปรตีน ไขมัน เส้นใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ
- ตา เป็นส่วนที่อยู่ด้านข้างของหัวมันฝรั่ง ทำหน้าที่เป็นต้นอ่อนสำหรับงอกเป็นต้นใหม่
ข้อมูลโภชนาการมันฝรั่ง
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 87 กิโลแคลอรี |
คาร์โบไฮเดรต | 20.1 กรัม |
โปรตีน | 1.9 กรัม |
ไขมัน | 0.1 กรัม |
เส้นใยอาหาร | 1.8 กรัม |
วิตามินซี | 19.7 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 6 | 0.3 มิลลิกรัม |
โพแทสเซียม | 421 มิลลิกรัม |
แมกนีเซียม | 23 มิลลิกรัม |
ธาตุเหล็ก | 0.78 มิลลิกรัม |
แคลเซียม | 12 มิลลิกรัม |
แมงกานีส | 0.153 มิลลิกรัม |
- ข้อมูลอ้างอิง: USDA National Nutrient Database for Standard Reference
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
มันฝรั่งเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินบี6 โพแทสเซียม และแมงกานีส ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้
- เป็นแหล่งพลังงานที่ดี มันฝรั่งเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดี ซึ่งเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ช้าๆ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานและไม่หิวง่าย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโปรตีนอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ วิตามินซีในมันฝรั่งช่วยต้านอนุมูลอิสระที่อาจทำให้ผิวแก่ก่อนวัยและเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน แคลเซียมในมันฝรั่งช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โพแทสเซียมในมันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เส้นใยอาหารในมันฝรั่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไป
- ช่วยป้องกันท้องผูก เส้นใยอาหารในมันฝรั่งช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคท้องผูก
อย่างไรก็ตาม มันฝรั่งก็มีข้อควรระวังในการบริโภคเช่นกัน ไม่ควรบริโภคมันฝรั่งในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการบริโภคมันฝรั่งทอด เพราะการทอดมันฝรั่งด้วยน้ำมันที่ร้อนจัดอาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้
วิธีเลือกซื้อมันฝรั่ง
วิธีการเลือกซื้อมันฝรั่งที่ดี มีดังนี้
- เลือกหัวมันฝรั่งที่มีรูปร่างกลมหรือรีสม่ำเสมอ หัวมันฝรั่งที่มีรูปร่างสม่ำเสมอจะทำให้สุกเท่ากัน
- ผิวเรียบ ไม่มีรอยบุบหรือรอยช้ำ หัวมันฝรั่งที่ผิวเรียบ ไม่มีรอยบุบหรือรอยช้ำ แสดงว่าหัวมันฝรั่งยังไม่เน่าเสีย
- ผิวแห้งไม่เหี่ยว หัวมันฝรั่งที่ผิวแห้งไม่เหี่ยว แสดงว่าหัวมันฝรั่งยังสดใหม่
- เปลือกไม่นิ่ม หัวมันฝรั่งที่เปลือกไม่นิ่ม แสดงว่าหัวมันฝรั่งยังไม่สุกเกินไป
- มีตาเล็กๆ อยู่ทั่วๆ หัว หัวมันฝรั่งที่มีตาเล็กๆ อยู่ทั่วๆ หัว แสดงว่าหัวมันฝรั่งสดใหม่
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อหัวมันฝรั่งที่มีจุดเขียวๆ เพราะจุดเขียวๆ นั้นเกิดจากการสะสมของสารโซลานีน ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการป่วยได้
วิธีเก็บรักษามันฝรั่ง
วิธีเก็บรักษามันฝรั่งให้อยู่ได้นาน มีดังนี้
- เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บรักษามันฝรั่งคือ 10-15 องศาเซลเซียส ไม่ควรเก็บมันฝรั่งไว้ในที่ร้อนหรือชื้น เพราะอาจทำให้มันฝรั่งเน่าเสียได้
- ไม่ควรเก็บมันฝรั่งไว้ในตู้เย็น เพราะจะทำให้มันฝรั่งมีรสชาติเปลี่ยนไปและอาจทำให้มันฝรั่งเปลี่ยนสี
- ควรเก็บมันฝรั่งไว้ในถุงตาข่ายหรือถุงกระดาษ เพื่อป้องกันไม่ให้มันฝรั่งสัมผัสกับแสงแดดและความชื้น
- ควรแยกเก็บมันฝรั่งจากหัวผักและผลไม้ เพราะหัวผักและผลไม้บางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ กระเทียม สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ อะโวคาโด อาจปล่อยก๊าซเอทิลีนออกมา ซึ่งก๊าซเอทิลีนจะเร่งการเจริญเติบโตของตามันฝรั่งและทำให้มันฝรั่งเน่าเสียเร็วขึ้น
ข้อควรระวังในการบริโภคมันฝรั่ง มันฝรั่งกินดิบได้ไหม?
โดยทั่วไปแล้ว มันฝรั่งดิบไม่ควรกิน เพราะในมันฝรั่งดิบจะมีสารพิษชื่อว่า “โซลานีน” (Solanine) ซึ่งเป็นสารพิษไกลโคแอลคาลอยด์ (Glycoalkaloids) เป็นสารที่พืชสร้างมาเพื่อปกป้องตัวเองจากแมลงศัตรูพืช
หากกินมันฝรั่งดิบในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น ใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น จึงไม่ควรกินมันฝรั่งดิบ แนะนำให้นำมาปรุงสุกก่อนรับประทาน โดยปรุงสุกด้วยความร้อนจัดอย่างน้อย 170 องศาเซลเซียส จะช่วยให้สารพิษโซลานีนลดลงได้
นอกจากนี้ ไม่ควรกินมันฝรั่งที่งอก เพราะหัวมันฝรั่งที่งอกจะมีปริมาณสารโซลานีนสูงเช่นกัน
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ครับ